-

-

วันจันทร์

แมวในประวัติศาสตร์ /1



lovelyfreinds2u.เพื่อนรักสัตว์เลี้ยง
กับเรื่องน้องเหมียวน่ารัก "แมวในประวัติศาสตร์" โดยแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่เคียงคู่กับมนุษย์มานานหลายพันปี ค่ะ




แมวในประวัติศาสตร์

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่เคียงคู่กับมนุษย์มานานหลายพันปี นิสัยท่าทางลักษณะของแมวเปรียบเสมือนเสือตัวน้อยๆ ซึ่งรักสงบ สันโดษ และสะอาด ที่ผู้คนเฝ้าชื่นชมและเลี้ยงดูมันอย่างทะนุถนอม ด้วยท่วงท่าเดินอันสง่างามดุจพญาพยัคฆ์ ความเป็นจ้าวนักล่า (หนู จิ้งจก ตุ๊กแก) ยามค่ำคืน


และอุปนิสัยอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของแมวที่ชอบอยู่ตามลำพังเหมือนนักบวชที่ดำรงชีพแบบสมถะ แต่ทรงไว้ซึ่งอำนาจอยู่ในที ตลอดจนรูปร่างหน้าตาของมันชวนให้ชาวเราขบคิดเป็นปริศนา จนเกิดเป็นตำนานเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้


คาดกันว่า คนเราเลี้ยงแมวมานานถึง 5,000 ปีก่อนคริสต์กาล ย้อนยุคไปไกลถึงประมาณ 3,000 ปี ครั้งที่อาณาจักรอียิปต์โบราณยังรุ่งเรือง ชาวอีิยิปต์เรียกแมวในภาษาอียิปต์โบราณว่า มัว (Mau)


ชาวเมืองสมัยนั้นนับถือแมวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
มีความสำคัญในศาสนาของพวกตนมาก ดังปรากฎในหลักฐานคัมภีร์มรณะที่กล่าวว่า สุรยเทพรา (Ra) ได้แปลงภาคหนึ่งเป็นแมวเพื่อปราบอสุรกายงูใหญ่เอเปอร์ (Aper) ในช่วงที่โลกเราเกิดยุคเข็ญ


นอกจากนี้ยังมีบันทึกของนักปราชญ์ชาวกรีก เฮโรโดตัส (Herodotus) เขียนไว้ว่า แมวในสมัยอียิปต์โบราณ ผู้คนจะต้องให้การยกย่อง ห้ามดูถูกเหยียดหยาม ทางการจะให้ความคุ้มครองเป็นอย่างดีแก่ชีวิตของมัน

ผู้ใดทำลายมันจนถึงตาย มีโทษสถานเดียว คือต้องตายตามแมว เมื่อแมวในครอบครัวใครตาย สมาชิกในบ้านจะต้องโกนคิ้ว เพื่อเป็นการไว้อาลัยที่มันจากไป


สำหรับศพของมันไม่ว่าเจ้าของจะยากดีมีจนอย่างไรก็จะต้องตกแต่งศพของมันให้สวยงาม ซากของแมวที่ตายไปแล้วห้ามนำไปทิ้งขว้าง จะต้องนำไปทำมัมมี่อย่างดีที่เมืองบูบาสติส (Bubastis) และฝังรวมกันไว้ที่นั่น


ที่เมืองบูบาสติสนี่เอง แมวที่ตายไปแล้วจะถูกนำไปทำมัมมี่
โดยกรรมวิธีที่เริ่มต้นด้วยการล้วงเอาเครื่องในตับไตไส้พุงออกจากตัวแมวให้หมด แล้วจึงล้างทำความสะอาด เสร็จแล้วบรรจุด้วยดินหรือทรายแห้งในตัวศพ เย็บติดกันด้วยเส้นใยพื้นเมืองก่อนที่จะพันด้วยผ้าห่อศพลินินชั้นดี


จะต้องจัดรูปร่างมัมมี่แมวให้เข้าที่เสียก่อน
โดยดัดลำตัวให้ตั้งตรง คู้ 2 เท้าหน้าและงอ 2 เท้าหลังให้แนบติดกับหน้าท้อง ส่วนหางเก็บซ่อนตรงช่องขาหลัง หลังจากนั้นก็นำไปแ่ช่ในน้ำยาเนตรอน (Natron) หรือน้ำยาเรซิน (Resin) ป้องกันการเปื่อยยุ่ยของเนื้อเยื่อ แล้วจึงเก็บลงในโลงศพ (Coffin)


โลงส่วนใหญ่ทำมาจากโลหะที่มีค่า
เช่น บรอนซ์ หรือไม่เก็เป็นไม้ที่หายากในอียิปต์ แต่เป็นที่เสียดาย ในศตวรรษที่ 19 มัมมี่มีแมวทั้งหมด 3 แสนตัวถูกนำไปทำปุ๋ยที่เมืองลิเวอร์พูล ในอังกฤษโน่น


ชาวอียิปต์มีเทพธิดาองค์หนึ่งนามว่า บาสท์ (Bast) หรือว่า บาสเท็ต (Bastet) พระนางเป็นเทวีที่ประทานความคุ้มครองแก่สมาชิกในครอบครัว ทุกปีชาวเมืองอียิปต์จะต้องมีพิธีสักการะต่อพระนาง โดยวันที่บูชาเทวีบาสท์นี้ ทางการให้ความสำคัญมากขนาดมีกล่าวไว้ในปฏิทินโบราณเลยทีเดียว

ในพิธีดังกล่าวผู้คนจะบวงสรวงอาหารเลอรสและน้ำนมอย่างดีแก่เทวีบาสท์ที่มีเศียรแมว พร้อมทั้งนักบวชจะนำรูปปั้นแมวที่ทำำด้วยบรอนซ์ประดับด้วยห่วงทองคำตรงใบหูข้างหนึ่ง และรูจมูกออกมาบูชาด้วย


ชาวอียิปต์เมื่อเห็นแมวตกจากที่สูงๆ แล้วไม่เป็นอะไรก็รู้สึกประหลาดใจ จึงเชื่อว่าแมวมี 9 ชีวิต และยังเชื่ออีกว่าหากแมวเดินผ่านหน้าใครก็ถือว่าผู้นั้นจะโชคดีเร็วๆ นี้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงนิยมทำรูปแมวไว้ในเครื่องประดับอย่างกำไลและหัวแหวน


ความเป็นจ้าวนักล่าอันเป็นสันดานดิบของแมวเป็นที่ชื่นชมของคนอียิปต์มาก เลยทำให้เกิดศิลปะการวาดภาพขึ้น ดังจะเห็นได้จากภาพสีเฟรสโกที่ผนังสุสานของช่างแกะสลักอียิปต์โบราณคนหนึ่งนามว่า เน็บบามัน (Nebamun) ที่วาดเรื่องราวชีวิตสัตว์ป่าริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ในจำนวนสัตว์ป่านั้นมีแมวรวมอยู่ด้วย

ภาพปรากฎให้เห็นเด่นชัดคือรูป แมวจับนำได้ถึง 3 ตัว ไม่เพียงแต่ชาวอียิปต์โบราณเท่านั้นที่ชื่นชมในความเป็นนักล่าของมัน ชาวโรมันเองก็ยังนิยมชมชอบอีกด้วย ดังภาพโมเสค (Mosaic) ในเมืองปอมเปอี (Pompeei) ได้ประดับหินหลากสีรูปแมวกำลังจับนก



lovelyfriends2u.เพื่อนรักสัตว์เลี้ยง
น้องเหมียวน่ารัก "แมวในประวัติศาสตร์" ภาค1 เป็นไงค่ะ เห็นชาวอียิปต์ที่นับถือแมว และ แมวในสมัยอียิปต์โบราณ ผู้คนจะต้องให้การยกย่อง ห้ามดูถูกเหยียดหยาม ทางการจะให้ความคุ้มครองเป็นอย่างดีแก่ชีวิตของมัน ผู้ใดทำลายมันจน ถึงตาย มีโทษสถานเดียว คือต้องตายตามแมว เมื่อแมวในครอบครัวใครตาย สมาชิกในบ้านจะต้องโกนคิ้ว เพื่อเป็นการไว้อาลัยที่มันจากไป เพื่อนๆ ฟังดูแล้วขนลุกเลยไหมค่ะ ติดตามแมวในประวัติศาสตร์ภาค 2 นะค่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

-

free counters